วันนักข่าว ถือกำเนิดมาจากวันที่นักข่าวรุ่นบุกเบิกหลายท่านได้ร่วมชุมนุมกันก่อตั้งสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยขึ้นมาเมื่อ 48 ปีที่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นหนังสือพิมพ์ทั้งหลายต่างให้ความสำคัญกับ "วันนักข่าว" กันเป็นอย่างดี ซึ่งถือว่าเป็นวันหยุดการทำงานของบรรดานักข่าวทั้งหลาย เป็นที่ทราบกันดีว่าวันที่ 6 มีนาคม ของทุกปีจะไม่มีหนังสือพิมพ์ออกมาขาย ต่อมาเมื่อความต้องการในข่าวสารมีมากขึ้นชาวนักข่าวทั้งหลายได้มีการแอบออกหนังสือพิมพ์มาขายในวันที่ 6 มีนาคม ทำให้หนังสือพิมพ์อื่นจำใจต้องเลิกประเพณีนี้ไป
เมื่อวันที่ 5 เป็นวันหยุดของนักข่าว สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยจึงกำหนดให้วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้จัดเฉลิมฉลองกันได้อย่างเต็มที่ ในการจัดงานประชุมใหญ่และงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี แต่เดิมได้จัดที่บริเวณถนนราชดำเนินซึ่งบรรดาเหยื่อข่าวได้มาพบปะสังสรรค์กันที่ริมฟุตบาทถนนราชดำเนิน

ต่อมาสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยรวมเข้ากับสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยกลายเป็น "สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" แต่ยังคงกำหนดให้วันที่ 4 มีนาคม เป็นวันประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมเช่นเดิม
ประวัติศาสตร์วงการข่าวในประเทศไทย
ในสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ตอนนั้นเมืองไทยเรายังใช้กฎหมายเดิมของพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถซึ่งใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยนั้น มี หมอ ดี. บี. บรัดเลย์ ในคณะมิชชันนารีชาวอเมริกัน บอร์ด คอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ ฟอเรน มิชชั่น เข้ามาในประเทศ และได้เริ่มทำหนังสือพิมพ์ขึ้นเป็นฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ. 2336 ชื่อ "บางกอกรีคอร์ดเดอร์ส" โดยหมอบรัดเล เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งท่านก็คือ "นักข่าว" คนแรกนั่นเอง

แต่การเสนอข่าวมิได้จบลงเพียงเท่านั้น ในสมัยรัชกาลต่อมา ๆ หนังสือพิมพ์ก็เกิดขึ้นอีกหลายฉบับ เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองจากระบอบ "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" มาเป็น "ประชาธิปไตย" การเสนอข่าวเกี่ยวกับรัฐบาลจึงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับนักข่าว เพราะรัฐบาลสมัยนั้นลงโทษหนังสือพิมพ์ที่เสนอข่าวที่รัฐบาลเห็นว่าผิดโดยการ "ปิด" สถานเดียว ทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นมาว่า การเสนอข่าวนั้น เป็นมุมมองของ "นักข่าว" เท่านั้น
ดังนั้นการลงโทษด้วยการ "ปิด" เป็นการลงโทษที่เหมารวมทั้งหน่วยงาน จึงเป็นการลงโทษที่ไม่สมเหตุสมผล วันที่ 19 กันยายน พ.ศ 2475 สมัยที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมตรีจึงได้เสนอ "กฎหมายเซ็นเซอร์" ขึ้นเพื่อใช้ควบคุมการเสนอข่าวของนักข่าว
Credit : ข้อมูลจาก : http://guru.sanook.com/2358/
รูปภาพจาก : www.baanmaha.com , scoop.mthai.com และ board.roigoo.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น